sss.in.th ย่อให้
- Competitive Analysis คือกระบวนการศึกษาคู่แข่งในตลาด เพื่อเข้าใจจุดแข็ง จุดอ่อน และกลยุทธ์ของพวกเขา
- วิธีทำ Competitive Analysis: ได้แก่ 1. รวบรวมรายชื่อคู่แข่ง 2. วิเคราะห์กลยุทธ์ทางการตลาด ว่าเขาทำอะไรบ้าง มีจุดเด่นอะไรบ้าง 3. เปรียบเทียบสินค้าและบริการของเขากับเรา 4. ใช้ SWOT Analysis เพื่อเป็นข้อมูลเชิงประจักษ์ และ 5. อัปเดตข้อมูลสม่ำเสมอ
- ข้อควรระวัง: เมื่อมีข้อมูลแล้วควรรีบเอาข้อมูลไปใช้ทันที ระวังเรื่อง Confirmation Bias และต้องตระหนักว่าตลาดเปลี่ยนแปลงเสมอ ต้องอัปเดตข้อมูลเป็นระยะ
บทนำ
การรู้จักคู่แข่งเป็นสิ่งสำคัญไม่ต่างจากนักกีฬาที่ต้องศึกษาคู่แข่งก่อนลงสนาม การวิเคราะห์คู่แข่งช่วยให้คุณเข้าใจจุดแข็งและจุดอ่อนของตัวเอง และสามารถพัฒนาและปรับกลยุทธ์ให้ธุรกิจก้าวไปข้างหน้าได้ บทความนี้จะพาคุณทำความเข้าใจว่า Competitive Analysis คืออะไร และวิธีนำไปใช้เพื่อเพิ่มโอกาสทางธุรกิจ
Competitive Analysis คืออะไร?
รูป 1 Competitive Analysis คือการศึกษาคู่แข่งเพื่อเข้าใจจุดแข็ง จุดอ่อน และกลยุทธ์ แบ่งเป็นคู่แข่งทางตรง เช่น McDonald’s vs. Burger King และคู่แข่งทางอ้อม เช่น Netflix vs. YouTube
Competitive Analysis คือกระบวนการศึกษาคู่แข่งในตลาดเพื่อทำความเข้าใจจุดแข็ง จุดอ่อน และกลยุทธ์ของพวกเขา โดยคู่แข่งสามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลัก ๆ ได้แก่
- คู่แข่งทางตรง – ขายสินค้า/บริการแบบเดียวกับคุณ และมีเป้าหมายลูกค้ากลุ่มเดียวกัน เช่น หากคุณขายเสื้อผ้าแฟชั่น คู่แข่งทางตรงก็คือร้านเสื้อผ้าแฟชั่นที่ขายแบบเดียวกัน
- คู่แข่งทางอ้อม – ขายสินค้า/บริการที่อาจไม่เหมือนกัน 100% แต่สามารถทดแทนกันได้ หรือจับตลาดกลุ่มใกล้เคียงกัน เช่น หากคุณขายน้ำผลไม้ คู่แข่งทางอ้อมอาจเป็นร้านกาแฟที่ดึงลูกค้ากลุ่มเดียวกันไป
วิธีทำ Competitive Analysis อย่างมีประสิทธิภาพ
รูป 2 วิธีทำ Competitive Analysis อย่างมีประสิทธิภาพ ได้แก่ รวบรวมรายชื่อคู่แข่ง วิเคราะห์กลยุทธ์ตลาด เปรียบเทียบสินค้าและบริการ ใช้ SWOT Analysis และอัปเดตข้อมูลสม่ำเสมอ
1. รวบรวมรายชื่อคู่แข่ง
เลือกคู่แข่งหลัก ๆ ในอุตสาหกรรมของคุณ 5-10 ราย ใช้ Google ค้นหาสินค้าหรือบริการของคุณ คู่แข่งที่ขึ้นหน้าแรกมักเป็นผู้เล่นหลัก นอกจากนี้เครื่องมือเช่น SEMrush หรือ Ahrefs สามารถช่วยตรวจสอบอิทธิพลของคู่แข่งในตลาดออนไลน์ได้
2. วิเคราะห์กลยุทธ์ทางการตลาด
ศึกษาว่าคู่แข่งทำการตลาดอย่างไร โดยพิจารณาปัจจัยต่อไปนี้
- เว็บไซต์และ UX/UI – ใช้งานง่ายและดึงดูดหรือไม่?
- โฆษณาออนไลน์ – ใช้ Google Ads, Facebook Ads หรือไม่?
- SEO และคอนเทนต์ – มีบล็อกหรือวิดีโอที่ดึงดูดลูกค้าหรือไม่?
- โซเชียลมีเดีย – การมีส่วนร่วมของแฟนเพจเป็นอย่างไร?
เครื่องมือช่วยวิเคราะห์
- SEMrush – วิเคราะห์ SEO และโฆษณาออนไลน์
- Ahrefs – ตรวจสอบ Backlinks และ Keyword
- SimilarWeb – วิเคราะห์ทราฟฟิกเว็บไซต์คู่แข่ง
3. เปรียบเทียบสินค้าและบริการ
- ราคาและโปรโมชั่น – คู่แข่งตั้งราคาอย่างไร?
- คุณภาพสินค้า – รีวิวลูกค้าเป็นอย่างไร?
- การบริการลูกค้า – ตอบคำถามลูกค้าได้ดีแค่ไหน?
- รีวิวและฟีดแบกลูกค้า – ดูบน Facebook, Google Reviews และ Shopee/Lazada
4. ใช้ SWOT Analysis
รูป 3 SWOT Analysis ช่วยให้เจ้าของธุรกิจเข้าใจจุดแข็ง จุดอ่อน โอกาส และความเสี่ยง เพื่อวางกลยุทธ์และแข่งขันได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ช่วยให้เห็นภาพรวมธุรกิจของคุณและคู่แข่ง
- Strengths (จุดแข็ง) – อะไรที่ทำให้ธุรกิจของคุณโดดเด่น?
- Weaknesses (จุดอ่อน) – อะไรที่ต้องปรับปรุง?
- Opportunities (โอกาส) – อะไรที่ช่วยให้ธุรกิจเติบโต?
- Threats (ความเสี่ยง) – ปัจจัยภายนอกที่อาจส่งผลกระทบ?
5. อัปเดตข้อมูลสม่ำเสมอ
ตลาดเปลี่ยนแปลงตลอด ควรทบทวน Competitive Analysis ทุก 6 เดือน – 1 ปี เพื่อให้แน่ใจว่าธุรกิจของคุณยังสามารถแข่งขันได้
ข้อเสียของการวิเคราะห์คู่แข่งที่ต้องระวัง
1. อย่าลืมลงมือทำ!
การมีข้อมูลโดยไม่นำไปใช้จริงไม่มีประโยชน์ ต้องนำมาปรับใช้กับกลยุทธ์ทางธุรกิจของคุณ
2. ระวัง Confirmation Bias
อย่าเลือกเฉพาะข้อมูลที่สนับสนุนความเชื่อเดิมของตัวเอง ควรมองภาพรวมให้รอบด้าน
3. ตลาดเปลี่ยนแปลงเสมอ
อย่าคิดว่าคู่แข่งจะอยู่กับที่ตลอดเวลา หากไม่อัปเดต Competitive Analysis เป็นระยะ คุณอาจพลาดโอกาสสำคัญไป
บทสรุป
Competitive Analysis คือกุญแจสู่ความได้เปรียบทางธุรกิจ รู้เขา รู้เรา ปรับกลยุทธ์ให้เฉียบคม แต่การวิเคราะห์เพียงอย่างเดียวไม่พอ ต้องลงมือทำและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง เริ่มวันนี้ เพื่อให้ธุรกิจของคุณก้าวนำเสมอ
แหล่งอ้างอิง
- https://asana.com/resources/competitive-analysis-example
- https://blog.digimind.com/en/competitive-intelligence/why-competitive-analysis-matters-and-how-to-do-one-that-works