การตลาด online (online marketing) คืออะไร มีประเภทอะไรบ้าง

การตลาด online (online marketing) คืออะไร

เคยสงสัยกันไหมว่า ทำไมธุรกิจถึงมักจะพูดถึงการตลาดออนไลน์กันบ่อยๆ นั่นก็เพราะว่าในยุคดิจิทัลนี้ การตลาดออนไลน์กลายเป็นหัวใจสำคัญที่ช่วยให้ธุรกิจต่าง ๆ เข้าถึงลูกค้าได้ง่ายขึ้น สะดวกขึ้น และยังมีประสิทธิภาพมากขึ้นด้วย ไม่ว่าคุณจะเป็นเจ้าของธุรกิจขนาดเล็กหรือใหญ่ การทำความเข้าใจและใช้ประโยชน์จากการตลาดออนไลน์อย่างถูกวิธีสามารถเปลี่ยนเกมได้ วันนี้เราจะมาทำความรู้จักกับการตลาดออนไลน์ว่า
คืออะไร และมีประเภทไหนบ้างที่คุณควรรู้จัก มาเริ่มกันเลย

รู้จักกับการตลาดออนไลน์

การตลาดออนไลน์คืออะไร?

การตลาดออนไลน์ (Online Marketing) คือการโปรโมทสินค้าและบริการผ่านสื่อดิจิทัลต่าง ๆ บนอินเทอร์เน็ต ไม่ว่าจะเป็นการใช้เว็บไซต์, โซเชียลมีเดีย, อีเมล, วิดีโอ หรือเครื่องมืออื่น ๆ เพื่อดึงดูดลูกค้าและสร้างความสัมพันธ์กับพวกเขา การตลาดออนไลน์เปิดโอกาสให้ธุรกิจสามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้กว้างขวางและเฉพาะเจาะจงมากขึ้น นอกจากนี้ยังสามารถวัดผลและปรับกลยุทธ์ได้อย่างรวดเร็วเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด

ทำไมการตลาดออนไลน์ถึงสำคัญในยุคดิจิทัล?

ในยุคที่อินเทอร์เน็ตและเทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทสำคัญในชีวิตประจำวันของเรา การตลาดออนไลน์จึงกลายเป็นส่วนสำคัญที่ธุรกิจไม่สามารถละเลยได้ เพราะว่าลูกค้าส่วนใหญ่มักใช้เวลาอยู่บนโลกออนไลน์ ไม่ว่าจะเป็นการค้นหาข้อมูล ซื้อสินค้า หรือใช้สื่อสังคมออนไลน์ ดังนั้น การที่ธุรกิจของคุณมีการตลาดออนไลน์ที่แข็งแกร่ง จะช่วยเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงและดึงดูดลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ข้อดีของการตลาดออนไลน์

1. เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้กว้างขวาง : อินเทอร์เน็ตทำให้ธุรกิจสามารถเข้าถึงลูกค้าได้ทั่วโลก ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็ตาม การใช้สื่อออนไลน์ช่วยให้ธุรกิจของคุณสามารถส่งข้อความถึงกลุ่มเป้าหมายที่สนใจในสินค้าและบริการของคุณได้โดยตรง

2. ประหยัดค่าใช้จ่าย : การทำการตลาดออนไลน์มักมีค่าใช้จ่ายที่ต่ำกว่าการทำการตลาดแบบดั้งเดิม เช่น โฆษณาทางโทรทัศน์หรือป้ายโฆษณาขนาดใหญ่ นอกจากนี้ คุณยังสามารถควบคุมงบประมาณและติดตามผลลัพธ์ได้อย่างแม่นยำ

3. สามารถวัดผลได้ง่าย : การตลาดออนไลน์มีเครื่องมือที่ช่วยให้คุณสามารถติดตามและวัดผลลัพธ์ของแคมเปญการตลาดได้อย่างละเอียด คุณสามารถดูได้ว่าโฆษณาของคุณมีการคลิกเท่าไหร่ มีการแปลงยอดขาย
กี่ครั้ง และสามารถปรับปรุงแคมเปญของคุณให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

4. การสื่อสารแบบเรียลไทม์ : การตลาดออนไลน์ช่วยให้คุณสามารถสื่อสารกับลูกค้าได้ทันที ไม่ว่าจะเป็นการตอบคำถาม การให้ข้อมูลเพิ่มเติม หรือการแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ซึ่งจะช่วยสร้างความพึงพอใจและความไว้วางใจในแบรนด์ของคุณ

ประเภทของการตลาดออนไลน์

การตลาดออนไลน์ได้กลายเป็นหัวใจสำคัญของการทำธุรกิจในยุคดิจิทัล ด้วยหลากหลายวิธีการและเครื่องมือที่ทำให้ธุรกิจสามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น วันนี้เราจะพาคุณไป
ทำความรู้จักกับประเภทของการตลาดออนไลน์ที่สำคัญ ๆ ซึ่งแต่ละประเภทก็มีเสน่ห์และวิธีการที่แตกต่างกันไป ถ้าพร้อมแล้ว เริ่มกันเลย

การตลาดผ่านโซเชียลมีเดีย (Social Media Marketing)

การใช้โซเชียลมีเดียเช่น Facebook, Instagram, Twitter และ TikTok เพื่อโปรโมตสินค้าและบริการของเรา การตลาดผ่านโซเชียลมีเดียเป็นวิธีที่ยอดเยี่ยมในการสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้า และสร้างการรับรู้ถึงแบรนด์

การตลาดผ่านการค้นหา (Search Engine Marketing – SEM)

SEM คือการใช้โฆษณาแบบชำระเงิน (Paid Ads) บนเครื่องมือค้นหา เช่น Google Ads เพื่อให้เว็บไซต์ของเราปรากฏอยู่บนหน้าผลการค้นหาเมื่อมีคนค้นหาคำที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจของเรา

การตลาดเนื้อหา (Content Marketing)

การสร้างและเผยแพร่เนื้อหาที่มีคุณค่าและน่าสนใจ เช่น บทความ, วิดีโอ และอินโฟกราฟิก ที่ช่วยให้กลุ่มเป้าหมายได้รับข้อมูลที่เป็นประโยชน์ ซึ่งทำให้พวกเขาเกิดความเชื่อมั่นในแบรนด์ของเรา

การตลาดผ่านอีเมล (Email Marketing)

การส่งอีเมลไปยังลูกค้าหรือผู้ที่สนใจในธุรกิจของเราเพื่อโปรโมตสินค้า บริการ หรือเนื้อหาที่น่าสนใจ เป็นวิธีที่ดีในการสื่อสารตรงไปยังลูกค้าและสร้างความสัมพันธ์ที่ยาวนาน

การตลาดผ่านการแนะนำ (Affiliate Marketing)

การตลาดผ่านการแนะนำคือการที่เราทำข้อตกลงกับพาร์ทเนอร์ (Affiliate) ให้เขาช่วยโปรโมตสินค้าและบริการของเรา แล้วเราจะจ่ายค่าคอมมิชชั่นให้เมื่อมีการขายเกิดขึ้นจากการแนะนำของพวกเขา

การตลาดผ่านแบนเนอร์และโฆษณา (Display Advertising)

การใช้แบนเนอร์หรือโฆษณาแบบรูปภาพที่ปรากฏบนเว็บไซต์ต่าง ๆ เพื่อดึงดูดความสนใจของกลุ่มเป้าหมายและกระตุ้นให้พวกเขาคลิกเข้ามาที่เว็บไซต์ของเรา

การตลาดผ่านวิดีโอ (Video Marketing)

การสร้างและเผยแพร่วิดีโอที่มีเนื้อหาน่าสนใจ เช่น วิดีโอแนะนำสินค้า, วิดีโอรีวิว หรือวิดีโอเนื้อหาสาระ ที่สามารถแชร์ได้ง่ายและดึงดูดความสนใจของผู้ชม

การตลาดผ่านอินฟลูเอนเซอร์ (Influencer Marketing)

การร่วมมือกับอินฟลูเอนเซอร์ที่มีผู้ติดตามจำนวนมากเพื่อโปรโมตสินค้าและบริการของเรา เป็นวิธีที่ได้ผลดีมากเพราะผู้ติดตามมักมีความเชื่อมั่นและไว้วางใจในคำแนะนำของอินฟลูเอนเซอร์

กลยุทธ์ในการตลาดออนไลน์

ถ้าคุณกำลังมองหาวิธีเพิ่มยอดขายหรือขยายฐานลูกค้า การตลาดออนไลน์เป็นทางเลือกที่น่าสนใจมากเลยทีเดียว แต่การตลาดออนไลน์นั้นไม่ใช่แค่การโพสต์ภาพหรือโฆษณาเพียงอย่างเดียว มันยังมีกลยุทธ์ที่ช่วยให้คุณได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดอีกด้วย ถ้าพร้อมแล้ว มาดูกันเลยว่ามีกลยุทธ์อะไรกันบ้าง

1. การวางแผนและกำหนดเป้าหมาย

ก่อนที่เราจะเริ่มทำอะไร การวางแผนเป็นสิ่งสำคัญมาก คุณต้องรู้ว่าคุณต้องการอะไร เช่น
เพิ่มยอดขาย เพิ่มผู้ติดตาม หรือเพิ่มการรับรู้ถึงแบรนด์ จากนั้นกำหนดเป้าหมายที่ชัดเจนและวัดผลได้ เช่น เพิ่มยอดขาย 20% ใน 6 เดือน

2. การสร้างเนื้อหาที่น่าสนใจ

เนื้อหาที่ดีและน่าสนใจเป็นหัวใจของการตลาดออนไลน์ ไม่ว่าจะเป็นบทความ, วิดีโอ, ภาพถ่าย หรือกราฟิก เนื้อหาที่มีคุณค่าและตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าจะช่วยดึงดูดความสนใจและสร้างความเชื่อมั่น

3. การใช้โซเชียลมีเดียให้เกิดประโยชน์สูงสุด

โซเชียลมีเดียเป็นเครื่องมือที่ทรงพลังในการเข้าถึงลูกค้า เลือกแพลตฟอร์มที่เหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมายของคุณ เช่น Facebook, Instagram, Twitter และ TikTok แล้วใช้โพสต์ที่น่าสนใจ, การสตรีมสด หรือการร่วมกิจกรรมเพื่อเพิ่มการมีส่วนร่วม

4. การทำ SEO ให้เว็บไซต์ติดอันดับ

SEO (Search Engine Optimization) คือการปรับแต่งเว็บไซต์ให้ติดอันดับบนผลการค้นหาของ Google เมื่อคนค้นหาคำที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจของคุณ การใช้คีย์เวิร์ดที่เหมาะสม การสร้างเนื้อหาที่มีคุณภาพ และการปรับปรุงเทคนิค SEO บนเว็บไซต์จะช่วยเพิ่มโอกาสในการค้นเจอ

5. การวิเคราะห์ผลและปรับปรุงแคมเปญ

หลังจากเริ่มแคมเปญแล้ว อย่าลืมวัดผลและวิเคราะห์ข้อมูล เช่น จำนวนการเข้าชมเว็บไซต์, ยอดขายหรือการมีส่วนร่วมในโซเชียลมีเดีย จากนั้นนำข้อมูลเหล่านี้มาปรับปรุงกลยุทธ์เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดียิ่งขึ้น

6. การใช้โฆษณาออนไลน์

การใช้โฆษณาออนไลน์ เช่น Google Ads, Facebook Ads หรือ Instagram Ads จะช่วยให้คุณเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างรวดเร็ว เลือกใช้โฆษณาที่เหมาะสมกับธุรกิจและกลุ่มเป้าหมายของคุณ และควบคุมงบประมาณให้เหมาะสม

7. การสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้า

การตลาดออนไลน์ไม่ใช่แค่การขายของ แต่ยังเป็นการสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้า การตอบกลับ
ความคิดเห็น, การให้คำปรึกษา และการดูแลหลังการขายจะช่วยสร้างความประทับใจและความภักดี
ต่อแบรนด์

ตัวอย่างของธุรกิจที่ประสบความสำเร็จโดยใช้กลยุทธ์การตลาดออนไลน์

1. การสร้างเนื้อหาที่น่าสนใจ : บริษัท HubSpot

HubSpot เป็นบริษัทที่มีชื่อเสียงด้านการตลาดดิจิทัลและซอฟต์แวร์ CRM พวกเขาใช้กลยุทธ์การตลาดเนื้อหา (Content Marketing) เพื่อสร้างความรู้และความเชื่อมั่นในแบรนด์ HubSpot มักจะเผยแพร่บทความ, วิดีโอ, และอินโฟกราฟิกที่มีคุณภาพและเป็นประโยชน์สำหรับธุรกิจต่าง ๆ นอกจากนี้ยังมีการเสนอ eBooks และ Whitepapers ที่ให้ดาวน์โหลดฟรีเพื่อแลกกับข้อมูลการติดต่อ ทำให้พวกเขาสามารถเก็บข้อมูลลูกค้าและสร้างความสัมพันธ์ที่ยาวนานได้

2. การใช้โซเชียลมีเดีย : แบรนด์เครื่องสำอาง Glossier

Glossier เป็นแบรนด์เครื่องสำอางที่ประสบความสำเร็จอย่างมากผ่านการใช้โซเชียลมีเดีย พวกเขาเน้นการสร้างคอนเทนต์ที่เน้นความเป็นธรรมชาติและการใช้ผลิตภัณฑ์ในชีวิตประจำวันของลูกค้า การให้ลูกค้า
แชร์ประสบการณ์และรูปภาพการใช้ผลิตภัณฑ์ผ่าน Instagram ทำให้เกิดความไว้วางใจและสร้างการมีส่วนร่วมสูง นอกจากนี้ พวกเขายังใช้ Instagram Stories และ IG Live เพื่อสื่อสารกับลูกค้าแบบเรียลไทม์

3. การทำ SEO : Airbnb

Airbnb ใช้กลยุทธ์ SEO (Search Engine Optimization) อย่างมีประสิทธิภาพเพื่อให้เว็บไซต์ของพวกเขาปรากฏอยู่ในอันดับต้น ๆ ของผลการค้นหาบน Google เมื่อคนค้นหาที่พักหรือสถานที่ท่องเที่ยว
พวกเขาใช้คีย์เวิร์ดที่เกี่ยวข้องในเนื้อหาเว็บไซต์ และสร้างบล็อกโพสต์ที่มีคุณภาพเกี่ยวกับสถานที่ท่องเที่ยวและคำแนะนำในการเดินทาง นอกจากนี้ยังมีการสร้างลิงก์ย้อนกลับ (Backlink) จากเว็บไซต์ที่มีความน่าเชื่อถือ
ทำให้เพิ่มโอกาสในการค้นเจอและเพิ่มจำนวนผู้เข้าชมเว็บไซต์

4. การใช้โฆษณาออนไลน์: Dollar Shave Club

Dollar Shave Club เป็นบริษัทที่จำหน่ายมีดโกนหนวดแบบสมัครสมาชิก พวกเขาใช้กลยุทธ์โฆษณาออนไลน์ผ่านวิดีโอที่ตลกและสร้างสรรค์ โฆษณาของพวกเขาใน YouTube ได้รับความนิยมอย่างมาก ทำให้
มีผู้เข้าชมและสมัครสมาชิกเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว การใช้วิดีโอที่มีเนื้อหาน่าสนใจและเป็นไวรัลช่วยให้แบรนด์
เป็นที่รู้จักและขยายฐานลูกค้าได้ในเวลาอันสั้น

5. การตลาดผ่านอีเมล: Amazon

Amazon ใช้การตลาดผ่านอีเมลเพื่อส่งข้อเสนอที่เหมาะสมกับพฤติกรรมการซื้อของลูกค้า พวกเขามีการวิเคราะห์ข้อมูลการซื้อขายของลูกค้าและใช้ข้อมูลนั้นเพื่อสร้างอีเมลที่ปรับแต่งตามความสนใจของลูกค้า เช่น การแนะนำสินค้าที่อาจสนใจ หรือแจ้งเตือนเกี่ยวกับโปรโมชั่นและส่วนลด การส่งอีเมลที่มีเนื้อหาเฉพาะตัวช่วยเพิ่มโอกาสในการขายและสร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้า

6. การตลาดผ่านอินฟลูเอนเซอร์: Daniel Wellington

แบรนด์นาฬิกา Daniel Wellington ใช้กลยุทธ์การตลาดผ่านอินฟลูเอนเซอร์เพื่อสร้างการรับรู้ถึง
แบรนด์ พวกเขาได้ร่วมมือกับอินฟลูเอนเซอร์หลายคนใน Instagram ที่มีผู้ติดตามจำนวนมาก ให้พวกเขา
โปรโมตนาฬิกาและแชร์โค้ดส่วนลด การทำเช่นนี้ทำให้แบรนด์เป็นที่รู้จักในวงกว้างและมียอดขายเพิ่มขึ้น
อย่างรวดเร็ว

เครื่องมือที่ใช้ในการตลาดออนไลน์

1. เครื่องมือวิเคราะห์ (Analytics Tools) การวัดผลและวิเคราะห์ข้อมูลเป็นสิ่งสำคัญในการทำการตลาดออนไลน์ เครื่องมือวิเคราะห์จะช่วยให้เรารู้ว่าแคมเปญของเรามีผลลัพธ์เป็นอย่างไร และสามารถปรับปรุงได้อย่างไรบ้าง

  • Google Analytics : เป็นเครื่องมือฟรีที่ช่วยให้เราติดตามการเข้าชมเว็บไซต์ การทำงานของหน้าเว็บ และการแปลงเป็นยอดขาย
  • Hotjar : ช่วยให้เราดูการกระทำของผู้ใช้บนเว็บไซต์ผ่าน Heatmaps และ Recordings เพื่อเข้าใจพฤติกรรมของลูกค้า

2. เครื่องมือจัดการโซเชียลมีเดีย (Social Media Management Tools) การจัดการโซเชียลมีเดียหลายแพลตฟอร์มในคราวเดียวอาจจะท้าทาย แต่เครื่องมือเหล่านี้จะช่วยให้เราทำได้อย่างมีประสิทธิภาพ

  • Hootsuite : ช่วยให้เราสามารถจัดการและกำหนดเวลาโพสต์ในหลายแพลตฟอร์มได้ในที่เดียว
  • Buffer : อีกหนึ่งเครื่องมือยอดนิยมที่ช่วยจัดการโซเชียลมีเดียและวิเคราะห์ผลการโพสต์ได้

3. เครื่องมือสร้างเนื้อหา (Content Creation Tools) เนื้อหาที่ดีเป็นหัวใจของการตลาดออนไลน์ เครื่องมือเหล่านี้จะช่วยให้เราสร้างเนื้อหาที่น่าสนใจและมีคุณภาพ

  • Canva : เครื่องมือออกแบบกราฟิกที่ใช้งานง่าย ทำให้เราสามารถสร้างภาพสวย ๆ ได้แม้จะไม่มีทักษะด้านการออกแบบ
  • Grammarly : เครื่องมือตรวจสอบไวยากรณ์และการเขียนที่ช่วยให้เนื้อหาของเราดูเป็นมืออาชีพ
    มากยิ่งขึ้น

4. เครื่องมือส่งอีเมล (Email Marketing Tools) การส่งอีเมลยังคงเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพในการสื่อสารกับลูกค้า เครื่องมือเหล่านี้จะช่วยให้เราจัดการแคมเปญอีเมลได้ง่ายขึ้น

  • Mailchimp : เครื่องมือที่ใช้งานง่ายและมีฟีเจอร์ครบครันในการสร้างและส่งอีเมล รวมถึง
    การติดตามผล
  • ConvertKit: ออกแบบมาเพื่อผู้สร้างคอนเทนต์ เช่น บล็อกเกอร์ และยูทูบเบอร์ ช่วยให้การจัดการรายชื่ออีเมลและสร้างอีเมลที่ดูดีเป็นเรื่องง่าย

5. เครื่องมือ SEO (SEO Tools) การปรับแต่งเว็บไซต์ให้ติดอันดับบนเครื่องมือค้นหาเป็นสิ่งสำคัญ เครื่องมือ SEO จะช่วยให้เราวิเคราะห์และปรับปรุงเว็บไซต์ได้

  • Ahrefs: ช่วยให้เราวิเคราะห์คีย์เวิร์ด, ตรวจสอบลิงก์ย้อนกลับ, และสำรวจคู่แข่ง
  • SEMrush: เครื่องมือที่ครอบคลุมทั้งการวิเคราะห์คีย์เวิร์ด, ตรวจสอบ SEO และสร้างแคมเปญโฆษณา

6. เครื่องมือจัดการโฆษณา (Advertising Management Tools) การจัดการโฆษณาออนไลน์ให้มีประสิทธิภาพต้องใช้เครื่องมือที่ดี เพื่อให้เราเห็นผลลัพธ์และปรับปรุงได้ตลอดเวลา

  • Google Ads : เครื่องมือสำหรับสร้างและจัดการโฆษณาใน Google Search และเครือข่ายอื่น ๆ ของ Google
  • Facebook Ads Manager : ช่วยให้เราจัดการโฆษณาบน Facebook และ Instagram ได้ง่ายและ
    มีประสิทธิภาพ

บทสรุป

การตลาดออนไลน์ หรือ Online Marketing คือการโปรโมทสินค้าและบริการผ่านอินเทอร์เน็ต ไม่ว่าจะเป็นการใช้ SEO, การตลาดผ่านโซเชียลมีเดีย, อีเมล หรือคอนเทนต์ที่น่าสนใจ ทั้งนี้เพื่อเข้าถึงและดึงดูดลูกค้าให้มาสนใจและซื้อสินค้าหรือบริการของเราได้มากขึ้น และยังมีการตลาดผ่านอินฟลูเอนเซอร์, วิดีโอ, การตลาดผ่านมือถือ และพอดแคสต์ที่กำลังมาแรงในยุคนี้อีกด้วย การใช้เครื่องมือที่หลากหลายและ
การวางกลยุทธ์ที่ดี จะช่วยให้ธุรกิจของคุณเติบโตและประสบความสำเร็จในโลกดิจิทัลได้อย่างแน่นอน