20 ช่องทางโปรโมทสินค้าออนไลน์ 2024

บทนำ

หากคุณกำลังมองหาวิธีโปรโมทสินค้าของคุณให้มีคนรู้จักมากขึ้นในปี 2024 คุณมาถูกที่แล้ว!!!
เมื่อโลกของการตลาดออนไลน์มีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ และมีช่องทางใหม่ ๆ ที่น่าสนใจเกิดขึ้นมากมาย
ไม่ว่าคุณจะเป็นเจ้าของธุรกิจขนาดเล็ก ผู้ขายออนไลน์ หรือแบรนด์ใหญ่ การเลือกช่องทางโปรโมทที่เหมาะสมสามารถทำให้ธุรกิจของคุณเติบโตและเพิ่มยอดขายได้อย่างมหาศาล ในบทความนี้ เราจะนำเสนอ 20 ช่องทางโปรโมทสินค้าออนไลน์ที่มีประสิทธิภาพและเป็นที่นิยมในปี 2024 ซึ่งแต่ละช่องทางได้รับการคัดเลือกมาอย่างดี เพื่อช่วยให้คุณสามารถเลือกใช้ช่องทางที่เหมาะสมกับธุรกิจของคุณได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ

Facebook: Facebook Page / Content / Facebook Ads / สร้างกลุ่มชุมชน

Facebook สามารถโปรโมทสินค้าผ่านการสร้างเพจ (Facebook Page), โพสต์คอนเทนต์ที่น่าสนใจ, ใช้ Facebook Ads เพิ่มการเข้าถึง และสร้างกลุ่มชุมชนเพื่อสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้า

ข้อดี:

  • มีผู้ใช้งานกว่า 3 พันล้านคนทั่วโลก
  • ระบบโฆษณากำหนดเป้าหมายได้แม่นยำ
  • รองรับคอนเทนต์หลายรูปแบบทั้งรูปภาพ วิดีโอ และบทความ เช่น Facebook Live, Stories, Reels, และ 360-degree photos ที่สามารถใช้ในการโปรโมทสินค้าได้

ข้อเสีย:

  • การแข่งขันสูง
  • ค่าโฆษณาอาจสูงขึ้น
  • การเข้าถึงแบบออร์แกนิกอาจลดลงเพราะการเปลี่ยนแปลงของอัลกอริธึม

เหมาะกับสินค้าประเภทไหน:

  • สินค้าแฟชั่น
  • อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์
  • ผลิตภัณฑ์ความงาม
  • สินค้าไลฟ์สไตล์ เนื่องจากสร้างคอนเทนต์ดึงดูดความสนใจได้ง่าย

Instagram: Instagram Feed / Stories / Reels

Instagram สามารถโปรโมทสินค้าผ่านการโพสต์บนฟีด (Instagram Feed), สร้างไอจีสตอรี่ (Instagram Stories) และทำวิดีโอสั้น (Reels) เพื่อดึงดูดผู้ติดตามและลูกค้า

ข้อดี:

  • มีผู้ใช้งานกว่า 2 พันล้านคนทั่วโลก
  • แพลตฟอร์มที่เน้นภาพและวิดีโอที่สวยงามและน่าสนใจ ทำให้สามารถดึงดูดผู้ชมได้ง่าย
  • ระบบโฆษณากำหนดเป้าหมายได้แม่นยำ เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ข้อเสีย:

  • การแข่งขันสูง
  • ค่าโฆษณาอาจสูง
  • การสร้างคอนเทนต์ที่น่าสนใจและคุณภาพสูง ต้องใช้เวลา ทักษะ และทรัพยากรพอสมควร

เหมาะกับสินค้าประเภทไหน:

  • สินค้าแฟชั่น
  • ผลิตภัณฑ์ความงาม
  • อาหารและเครื่องดื่ม
  • การท่องเที่ยว
  • สินค้าไลฟ์สไตล์ เช่น กีฬาและกิจกรรมต่างๆ

X: Tweets / Retweets / Twitter Ads / Hashtags

X หรือ Twitter สามารถโปรโมทสินค้าผ่านการทวีต (Tweets), รีทวีต (Retweets), ใช้ Twitter Ads เพื่อเพิ่มการเข้าถึง และการใช้แฮชแท็ก (Hashtags) เพื่อให้คอนเทนต์เห็นได้มากขึ้น

ข้อดี:

  • มีผู้ใช้งานกว่า 450 ล้านคนทั่วโลก
  • สามารถสื่อสารข้อมูลได้รวดเร็วและทันเหตุการณ์
  • ช่วยสร้างกระแสไวรัลได้ เนื่องจากข่าวสารและเทรนด์ต่างๆ มักจะเกิดขึ้นและแพร่กระจายอย่างรวดเร็วบนแพลตฟอร์มนี้
  • เป็นแพลตฟอร์มที่เปิดกว้างและส่งเสริมการแสดงความคิดเห็น

ข้อเสีย:

  • คอนเทนต์ที่โพสต์มีอายุสั้น
  • การแข่งขันสูง
  • ต้องโพสต์บ่อยครั้งเพื่อรักษาการมีส่วนร่วม
  • ข้อจำกัดเรื่องจำนวนตัวอักษร ทำให้การสื่อสารข้อมูลที่ซับซ้อนเป็นไปได้ยาก

เหมาะกับสินค้าประเภทไหน:

  • ข่าวสารและข้อมูล
  • สินค้าเทคโนโลยี
  • กิจกรรมและงานอีเวนต์
  • บริการและผลิตภัณฑ์ที่ต้องการสร้างกระแสในระยะเวลาอันสั้น

TikTok: Short Videos / Challenges / TikTok Ads / Influencer Collaborations

TikTok สามารถโปรโมทสินค้าผ่านการสร้างวิดีโอสั้น (Short Videos), การสร้างชาเลนจ์ (Challenges), การใช้ TikTok Ads และการร่วมงานกับอินฟลูเอนเซอร์ (Influencer Collaborations)

ข้อดี:

  • มีผู้ใช้งานกว่า 1.7 พันล้านคนทั่วโลก
  • เน้นคอนเทนต์วิดีโอสั้นที่น่าสนใจและสร้างสรรค์
  • ง่ายต่อการไวรัลและมีการมีส่วนร่วมสูง
  • มีเครื่องมือสนับสนุน ช่วยให้การสร้างคอนเทนต์วิดีโอเป็นเรื่องง่ายและสนุก เช่น ฟิลเตอร์ เอฟเฟกต์ เพลง และสติกเกอร์

ข้อเสีย:

  • การสร้างคอนเทนต์ที่น่าสนใจและมีคุณภาพต้องใช้เวลาและความคิดสร้างสรรค์
  • ค่าโฆษณาอาจสูง
  • การแข่งขันสูง
  • อัลกอริทึมของ TikTok มีการเปลี่ยนแปลงบ่อยครั้ง
  • การวัดผลและประเมินแคมเปญบน TikTok อาจทำได้ยากกว่าแพลตฟอร์มอื่นๆ

เหมาะกับสินค้าประเภทไหน:

  • สินค้าแฟชั่น
  • ผลิตภัณฑ์ความงาม
  • อาหารและเครื่องดื่ม
  • การท่องเที่ยว
  • สินค้าไลฟ์สไตล์
  • สินค้าที่เหมาะกับการนำเสนอผ่านวิดีโอสั้น
  • สินค้าที่ต้องการเข้าถึงกลุ่มคนรุ่นใหม่
  • สินค้าที่เน้นสร้างคอนเทนต์ที่สร้างสรรค์และสนุกสนาน

LinkedIn : LinkedIn Page / Articles / LinkedIn Ads / Professional Groups

LinkedIn สามารถโปรโมทสินค้าผ่านการสร้างเพจธุรกิจ (LinkedIn Page), เขียนบทความ (Articles), ใช้ LinkedIn Ads เพื่อเพิ่มการเข้าถึง และเข้าร่วมกลุ่มมืออาชีพ (Professional Groups)

ข้อดี:

  • มีผู้ใช้งานกว่า 900 ล้านคนทั่วโลก
  • เน้นการเชื่อมต่อทางธุรกิจและมืออาชีพ
  • ระบบโฆษณากำหนดเป้าหมายได้แม่นยำ
  • เหมาะสำหรับการสร้างแบรนด์ในวงการมืออาชีพ
  • การมีตัวตนบน LinkedIn ช่วยสร้างความน่าเชื่อถือให้กับแบรนด์และสินค้า

ข้อเสีย:

  • ค่าโฆษณาอาจสูง ก
  • ารแข่งขันสูง
  • การสร้างคอนเทนต์ที่เหมาะสมสำหรับมืออาชีพต้องใช้ความรู้และเวลา

เหมาะกับสินค้าประเภทไหน:

  • บริการและผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจ เทคโนโลยี การศึกษา การเงิน การลงทุนและการพัฒนาทักษะ เนื่องจากเน้นการสร้างแบรนด์และเข้าถึงกับลูกค้าที่เป็นมืออาชีพ
  • สินค้าและบริการที่มีราคาสูง เนื่องจากผู้ใช้งาน LinkedIn มักเป็นมืออาชีพที่มีกำลังซื้อสูง
  • สินค้าและบริการสำหรับธุรกิจ (B2B)

YouTube: Channel / Videos / YouTube Ads / Collaborations

YouTube สามารถโปรโมทสินค้าผ่านการสร้างช่อง (Channel), การอัปโหลดวิดีโอ (Videos),
ใช้ YouTube Ads เพื่อเพิ่มการเข้าถึง และการร่วมงานกับครีเอเตอร์ (Collaborations)

ข้อดี:

  • มีผู้ใช้งานกว่า 2.5 พันล้านคนทั่วโลก
  • วิดีโอเป็นสื่อที่มีการมีส่วนร่วมสูง
  • รองรับคอนเทนต์หลากหลายรูปแบบ
  • สามารถสร้างรายได้จากโฆษณาได้

ข้อเสีย:

  • การสร้างคอนเทนต์วิดีโอที่มีคุณภาพต้องใช้เวลาและทรัพยากร
  • ค่าโฆษณาอาจสูง
  • มีการแข่งขันสูง

เหมาะกับสินค้าประเภทไหน:

  • สินค้าเทคโนโลยี อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์
  • ผลิตภัณฑ์ความงาม
  • การศึกษา
  • สินค้าไลฟ์สไตล์ เนื่องจากเน้นการนำเสนอผ่านวิดีโอที่น่าสนใจ
  • สินค้าที่ต้องการการสาธิตหรืออธิบาย มีความซับซ้อน
  • แบรนด์ที่ต้องการสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าในระยะยาว

Blogs: Articles / SEO / Guest Posts / Sponsored Content

Blogs สามารถโปรโมทสินค้าผ่านการเขียนบทความ (Articles), การปรับปรุง SEO เพื่อเพิ่ม
การเข้าชม, การเขียนบทความบนบล็อกของคนอื่น (Guest Posts) และการสร้างคอนเทนต์สนับสนุน (Sponsored Content)

ข้อดี:

  • สร้างความน่าเชื่อถือ
  • เป็นแหล่งข้อมูลที่มีคุณค่า
  • เพิ่มการเข้าชมจากการค้นหา ด้วยการใช้ SEO
  • การสร้างบทความที่มีคุณภาพสามารถดึงดูดความสนใจและจะมีผู้เข้าชมใหม่ๆ เข้ามาให้ความสนใจเรื่อย ๆ

ข้อเสีย:

  • ต้องใช้เวลาและความพยายามในการเขียนบทความที่มีคุณภาพ
  • การแข่งขันสูง
  • ต้องปรับปรุง
    คอนเทนต์อย่างต่อเนื่อง

เหมาะกับสินค้าประเภทไหน:

  • สินค้าเทคโนโลยี
  • การศึกษา
  • การเงินและการลงทุน
  • การดูแลสุขภาพ
  • สินค้าอื่น ๆ ที่ต้องการนำเสนอข้อมูลเชิงลึกและสร้างความน่าเชื่อถือ

Podcasts: Episodes / Sponsorships / Collaborations / Advertising

Podcasts สามารถโปรโมทสินค้าผ่านการสร้างตอนพอดแคสต์ (Episodes), การหาสปอนเซอร์ (Sponsorships), การร่วมงานกับผู้จัดพอดแคสต์อื่น ๆ (Collaborations) และการโฆษณาในพอดแคสต์ (Advertising)

ข้อดี:

  • มีผู้ฟังที่ภักดีและมีส่วนร่วมสูง
  • สามารถสื่อสารเนื้อหาที่ยาวลึกซึ้งและน่าสนใจ
  • เป็นช่องทางที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว มีจำนวนผู้ฟังพอดแคสต์เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ข้อเสีย:

  • การผลิตพอดแคสต์คุณภาพสูงต้องใช้เวลาและทรัพยากร
  • ค่าโฆษณาอาจสูง
  • ต้องสร้างเนื้อหาที่สม่ำเสมอเพื่อรักษาฐานผู้ฟัง

เหมาะกับสินค้าประเภทไหน:

  • การศึกษา สอนทักษะใหม่ๆ
  • การพัฒนาตนเอง
  • การเงินและการลงทุน
  • สินค้าเทคโนโลยี
  • บริการที่ต้องการสื่อสารเนื้อหาลึกซึ้งและมีความยาว หรือใช้เวลาการทำความเข้าใจนาน

Infographics : Visual Content / Sharing / SEO / Social Media

Infographics สามารถโปรโมทสินค้าผ่านการสร้างคอนเทนต์ภาพ (Visual Content), การแชร์บนโซเชียลมีเดีย, การใช้ SEO เพื่อเพิ่มการเข้าชม และการฝังในบล็อกหรือเว็บไซต์

ข้อดี:

  • สื่อสารข้อมูลซับซ้อนให้เข้าใจง่าย
  • สร้างความน่าสนใจและการมีส่วนร่วมสูง
  • ง่ายต่อการแชร์
  • ติดกระแสได้ดี
  • ช่วยเพิ่มการเข้าชมจากการค้นหา

ข้อเสีย:

  • การสร้างอินโฟกราฟิกคุณภาพสูงต้องใช้ทักษะการออกแบบและเวลา
  • ค่าใช้จ่ายในการสร้างอาจสูง
  • ต้องอัปเดตข้อมูลอย่างสม่ำเสมอ

เหมาะกับสินค้าประเภทไหน:

  • การศึกษา สรุปข้อมูลที่ซับซ้อน เช่น ข้อมูลสถิติ หรือขั้นตอนต่างๆ
  • การเงินและการลงทุน
  • การดูแลสุขภาพ
  • สินค้าเทคโนโลยี
  • สินค้าอื่น ๆ ที่ต้องการสื่อสารข้อมูลที่ซับซ้อนในรูปแบบที่เข้าใจง่าย
  • สินค้าที่ต้องอธิบายฟีเจอร์และประโยชน์ของสินค้า หรือเปรียบเทียบต่างๆ

Email Marketing: ส่งอีเมลแนะนำสินค้า / โปรโมชัน / จดหมายข่าว

Email Marketing เป็นการส่งอีเมลไปยังกลุ่มลูกค้าหรือสมาชิกที่สนใจ เพื่อโปรโมทสินค้า
แจ้งโปรโมชัน และส่งข้อมูลใหม่ๆ เช่น จดหมายข่าว

ข้อดี:

  • ตรงเป้าหมาย
  • เข้าถึงผู้รับที่สนใจจริงๆ
  • สามารถวัดผลการตอบรับได้ง่าย
  • ปรับแต่งเนื้อหาและข้อเสนอให้เหมาะกับแต่ละกลุ่มลูกค้าได้ง่าย
  • ประหยัดต้นทุน เมื่อเทียบกับช่องทางการตลาดอื่นๆ

ข้อเสีย:

  • หากไม่มีการจัดการที่ดีอาจถูกมองว่าเป็นสแปม
  • ต้องการฐานข้อมูลลูกค้าที่มีประสิทธิภาพ

เหมาะกับสินค้าประเภทไหน:

  • ทุกประเภท เนื่องจากสามารถปรับแต่งเนื้อหาให้เหมาะกับกลุ่มเป้าหมายได้ง่าย
  • สินค้าที่ต้องการสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้า เช่น สินค้าที่ต้องซื้อซ้ำ บริการสมาชิก หรือสินค้าที่มีกลุ่มลูกค้าเฉพาะกลุ่ม
  • ธุรกิจ E-commerce ที่ใช้ในการส่งข่าวสารโปรโมชั่น แนะนำสินค้าใหม่ หรือกระตุ้นยอดขาย
  • ธุรกิจบริการ ที่เน้นการให้ข้อมูล นัดหมาย หรือสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้า

SEO : การปรับแต่งเว็บไซต์ให้ติดอันดับการค้นหาในเครื่องมือค้นหา (Google, Bing)

SEO คือการปรับแต่งเว็บไซต์ให้มีคุณภาพสูงตามเกณฑ์ของเครื่องมือค้นหา เพื่อให้เว็บไซต์ของคุณ
ติดอันดับสูงในการค้นหา ซึ่งจะช่วยเพิ่มการเข้าชมเว็บไซต์ได้เป็นอย่างดี

ข้อดี:

  • ลูกค้ามาหาเอง เพิ่มการเข้าชมเว็บไซต์โดยไม่ต้องเสียค่าโฆษณา
  • ยั่งยืนในระยะยาว
  • สร้างความน่าเชื่อถือ เว็บไซต์ที่ติดอันดับต้นๆ จะถูกมองว่ามีความน่าเชื่อถือและมีคุณภาพมากกว่า

ข้อเสีย:

  • ต้องใช้เวลาในการปรับปรุงเว็บไซต์และสร้างเนื้อหาที่มีคุณภาพ อาจต้องใช้เวลาหลายเดือนกว่าจะเริ่มเห็นผล
  • มีการแข่งขันสูง ต้องพยายามอย่างต่อเนื่องเพื่อรักษาอันดับ

เหมาะกับสินค้าประเภทไหน:

  • สินค้าที่มีคนค้นหาเยอะ เช่น สินค้าไอที อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ สินค้าเกี่ยวกับสุขภาพ หรือสินค้าที่เป็นที่นิยมตามฤดูกาล
  • สินค้าหรือบริการที่ต้องการสร้างความน่าเชื่อถือ
  • ธุรกิจที่ต้องการลูกค้าในระยะยาว

Google Ads: โฆษณาในผลการค้นหา / โฆษณาแบบแบนเนอร์ / โฆษณาวิดีโอ

Google Ads เป็นการโฆษณาผ่านเครื่องมือค้นหาของ Google ทั้งการโฆษณาในผลการค้นหา โฆษณาแบบแบนเนอร์บนเว็บไซต์ต่างๆ และโฆษณาวิดีโอบน YouTube

ข้อดี:

  • เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้ตรงตามคำค้นหา
  • สามารถปรับแต่งแคมเปญได้หลากหลายรูปแบบ
  • วัดผลได้อย่างแม่นยำ เช่น จำนวนคลิก จำนวนการแสดงผล และ Conversion Rate ทำให้สามารถปรับปรุงแคมเปญให้ดีขึ้นได้

ข้อเสีย:

  • ค่าโฆษณาอาจสูงและมีการแข่งขันสูง
  • ต้องมีการจัดการแคมเปญอย่างต่อเนื่อง

เหมาะกับสินค้าประเภทไหน:

  • ทุกประเภท โดยเฉพาะสินค้าที่มีการค้นหาสูงหรือสินค้าที่ต้องการความเร่งด่วนในการเข้าถึงลูกค้า

Micro-influencers : นักสร้างคอนเทนต์ที่มีผู้ติดตามน้อยแต่มีความสัมพันธ์แน่นแฟ้นกับผู้ติดตาม

Micro-influencers คือกลุ่มนักสร้างคอนเทนต์ที่มีผู้ติดตามในระดับหลักพันถึงหลักหมื่น แม้จะมีผู้ติดตามน้อยกว่า Macro-influencers แต่มีความสัมพันธ์ที่ดีและมีอิทธิพลต่อผู้ติดตามมาก

ข้อดี:

  • ค่าใช้จ่ายน้อยกว่า
  • มีความเป็นธรรมชาติและน่าเชื่อถือสูง
  • เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายเฉพาะได้ เพราะ Micro-influencers มักมีความเชี่ยวชาญใน niche เฉพาะกลุ่ม

ข้อเสีย:

  • การเข้าถึงไม่กว้างขวางเท่า
  • Macro-influencersอาจต้องใช้หลายคนในการโปรโมท

เหมาะกับสินค้าประเภทไหน:

  • สินค้าที่ต้องการสร้างความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับลูกค้า เช่น สินค้าไลฟ์สไตล์ อาหารและเครื่องดื่ม
  • สินค้าเฉพาะกลุ่ม มีกลุ่มเป้าหมายเฉพาะเจาะจง เช่น อุปกรณ์กีฬา, สินค้าสำหรับคนรักสัตว์, หรือสินค้าสำหรับกลุ่ม LGBTQ+

Macro-influencers : นักสร้างคอนเทนต์ที่มีผู้ติดตามจำนวนมาก

Macro-influencers คือกลุ่มนักสร้างคอนเทนต์ที่มีผู้ติดตามในระดับหลักแสนถึงหลักล้าน มีอิทธิพลต่อผู้ติดตามมากและสามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างกว้างขวาง

ข้อดี:

  • การเข้าถึงกว้างขวาง เข้าถึงคนได้เยอะ
  • สามารถสร้างการรับรู้ได้รวดเร็ว สร้างกระแสให้แบรนด์เป็นที่พูดถึง
  • เพิ่มความน่าเชื่อถือและภาพลักษณ์ที่ดีให้กับแบรนด์

ข้อเสีย:

  • ค่าใช้จ่ายสูง
  • การมีผู้ติดตามมากไม่รับประกันว่าผู้ติดตามทุกคนจะสนใจสินค้า
  • ความเป็นธรรมชาติอาจลดลง อาจดูเป็นการโฆษณาเกินไป ทำให้ผู้ติดตามรู้สึกไม่เชื่อถือ
  • ความสนใจอาจไม่ตรงกลุ่ม ถึงแม้จะมีผู้ติดตามเยอะ แต่ไม่ใช่ทุกคนที่จะสนใจในสินค้า

เหมาะกับสินค้าประเภทไหน:

  • สินค้าที่ต้องการการรับรู้ในวงกว้าง เช่น สินค้าแบรนด์ใหญ่ อุปกรณ์เทคโนโลยี
  • สินค้าหรือบริการที่กำลังเป็นกระแส เพื่อขี่กระแสและเพิ่มยอดขายในช่วงเวลาสั้นๆ

Lazada: แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ / เปิดร้านค้าออนไลน์ / การโปรโมทผ่าน Lazada Ads

Lazada เป็นแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซที่ได้รับความนิยมสูงในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ สามารถ
เปิดร้านค้าออนไลน์และใช้ Lazada Ads เพื่อโปรโมทสินค้า

ข้อดี:

  • มีฐานลูกค้าขนาดใหญ่ มีส่วนแบ่งการตลาดในประเทศไทยประมาณ 40%
  • ระบบการจัดการและการชำระเงินที่สะดวก
  • มีเครื่องมือและโปรโมชั่นต่างๆ ที่ช่วยเพิ่มยอดขาย เช่น Lazada Sponsored Solutions, Flexi Combo, และ Free Shipping

ข้อเสีย:

  • การแข่งขันสูง
  • ต้องมีการบริหารจัดการสต็อกและการส่งสินค้าให้ดี

เหมาะกับสินค้าประเภทไหน:

  • สินค้าทั่วไปที่มีความต้องการสูง เช่น เสื้อผ้า เครื่องใช้ไฟฟ้า ของใช้ในบ้าน ผลิตภัณฑ์ความงาม อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ สินค้าแม่และเด็ก และอื่นๆ อีกมากมาย

Shopee: แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ / เปิดร้านค้าออนไลน์ / การโปรโมทผ่าน Shopee Ads

Shopee เป็นแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซยอดนิยมในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่เปิดโอกาสให้ผู้ขายสามารถเปิดร้านค้าออนไลน์และโปรโมทสินค้าผ่าน Shopee Ads

ข้อดี:

  • มีฐานลูกค้าขนาดใหญ่ มีส่วนแบ่งการตลาดในประเทศไทยประมาณ 55%
  • การจัดการการชำระเงินและการส่งสินค้าที่ง่าย
  • ระบบโฆษณาที่มีประสิทธิภาพและสามารถกำหนดเป้าหมายได้
  • มีค่าธรรมเนียมที่ต่ำกว่าแพลตฟอร์มอื่นๆ ทำให้เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับผู้ขาย
  • มีเครื่องมือและโปรโมชั่นต่างๆ ที่ช่วยให้คุณเพิ่มยอดขาย เช่น Shopee My Ads, Flash Sale, และ Coins Cashback

ข้อเสีย:

  • การแข่งขันสูง
  • ต้องมีการจัดการสต็อกและการส่งสินค้าที่มีประสิทธิภาพ
  • ค่าโฆษณาอาจสูง

เหมาะกับสินค้าประเภทไหน:

  • สินค้าทั่วไปที่มีความต้องการสูง เช่น เสื้อผ้า อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ของใช้ภายในบ้าน สินค้าแฟชั่น ผลิตภัณฑ์ความงาม และสินค้าที่มีการจัดโปรโมชั่นบ่อย

Amazon: แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ / เปิดร้านค้าออนไลน์ / การโปรโมทผ่าน Amazon Ads

Amazon เป็นแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซที่ใหญ่ที่สุดในโลก สามารถเปิดร้านค้าออนไลน์และ
ใช้ Amazon Ads เพื่อโปรโมทสินค้า

ข้อดี:

  • มีฐานลูกค้าขนาดใหญ่ มีผู้ใช้งานหลายร้อยล้านคนทั่วโลก ทำให้คุณสามารถเข้าถึงลูกค้าได้อย่างมหาศาล
  • การจัดการการชำระเงินและการส่งสินค้าสะดวก
  • เป็นที่รู้จักและไว้วางใจจากผู้บริโภคทั่วโลก ช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือ
  • มีเครื่องมือและโปรโมชั่นต่างๆ ที่ช่วยเพิ่มยอดขาย เช่น Sponsored Products, Sponsored Brands, และ Display Advertising
  • บริการ FBA ช่วยให้คุณไม่ต้องกังวลเรื่องการจัดเก็บและจัดส่งสินค้า ทำให้คุณมีเวลามากขึ้นในการพัฒนาธุรกิจ

ข้อเสีย:

  • การแข่งขันสูง
  • ค่าคอมมิชชั่นและค่าโฆษณาอาจสูง
  • มีกฎระเบียบที่เข้มงวดเกี่ยวกับการขายสินค้า ต้องศึกษาและปฏิบัติตามกฎเหล่านี้อย่างเคร่งครัด

เหมาะกับสินค้าประเภทไหน:

  • สินค้าทั่วไปที่มีความต้องการสูง เช่น เสื้อผ้า อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ของใช้-ภายในบ้าน และอื่นๆ อีกมากมาย
  • สินค้าที่สามารถจัดส่งได้ทั่วโลก หากคุณต้องการขยายธุรกิจไปยังตลาดต่างประเทศ Amazon เป็นแพลตฟอร์มที่เหมาะสม

In-app Ads: โฆษณาผ่านแอปพลิเคชัน / การใช้แบนเนอร์ / การใช้วิดีโอ

In-app Ads เป็นการโฆษณาผ่านแอปพลิเคชันต่างๆ โดยมีรูปแบบการใช้แบนเนอร์ วิดีโอ หรือโฆษณาแบบอินเตอร์แอคทีฟ (การสื่อสารที่สามารถโต้ตอบได้ เช่น การใส่เสียง เป็นต้น)

ข้อดี:

  • เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่ใช้แอปพลิเคชันเฉพาะได้ สามารถดึงดูดความสนใจของผู้ใช้ได้ดี เนื่องจากปรากฏในขณะที่พวกเขากำลังใช้งานแอปอยู่
  • สามารถกำหนดเป้าหมายได้ชัดเจน
  • วัดผลได้อย่างละเอียด เช่น จำนวนการคลิก จำนวนการติดตั้งแอป และ Conversion Rate

ข้อเสีย:

  • ผู้ใช้บางคนอาจรู้สึกถูกรบกวน หงุดหงิดและรำคาญ
  • ความน่าสนใจของโฆษณาต้องสูง
  • ค่าใช้จ่ายในการทำโฆษณา In-app Ads อาจสูงขึ้นอยู่กับความนิยมของแอปพลิเคชันและกลุ่มเป้าหมายที่คุณต้องการเข้าถึง

เหมาะกับสินค้าประเภทไหน:

  • สินค้าที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีและแอปพลิเคชัน เช่น เกมออนไลน์
    แอปพลิเคชันมือถือ
  • สินค้าและบริการที่ต้องการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายเฉพาะ
  • สินค้าและบริการที่ต้องการสร้างการรับรู้และการมีส่วนร่วมในวงกว้าง

Push Notifications: การแจ้งเตือนผ่านแอปพลิเคชัน / การส่งข้อความโปรโมท

Push Notifications เป็นการส่งข้อความแจ้งเตือนผ่านแอปพลิเคชันหรือเว็บไซต์เพื่อแจ้งข่าวสารหรือโปรโมทสินค้า ผ่านแอปพลิเคชันหรือเว็บไซต์ที่พวกเขาติดตั้งหรือใช้งานอยู่

ข้อดี:

  • เข้าถึงผู้ใช้ได้ตรงเวลา ส่งข้อความถึงผู้ใช้ได้ทันทีที่ต้องการ แม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้เปิดแอปพลิเคชันอยู่ก็ตาม
  • สร้างการรับรู้ได้อย่างรวดเร็ว ข้อความแจ้งเตือนจะปรากฏบนหน้าจอของผู้ใช้
  • เพิ่มการมีส่วนร่วมและกระตุ้นการกลับมาใช้งานแอป
  • ปรับแต่งข้อความและเนื้อหาให้เหมาะสมกับแต่ละกลุ่มเป้าหมายได้

ข้อเสีย:

  • ผู้ใช้บางคนอาจรู้สึกรำคาญหากได้รับแจ้งเตือนบ่อยเกินไป
  • ต้องมีการจัดการให้เนื้อหามีความน่าสนใจ กระชับ และมีคุณค่า
  • ต้องได้รับอนุญาตจากผู้ใช้ ก่อนที่จะส่ง Push Notifications คุณต้องได้รับอนุญาตจากผู้ใช้ก่อน ซึ่งอาจทำให้จำนวนผู้รับข้อความน้อยลง

เหมาะกับสินค้าประเภทไหน:

  • สินค้าที่มีโปรโมชันบ่อยหรือสินค้าที่ต้องการการรับรู้ในทันที เช่น สินค้าแฟชั่น อาหารและเครื่องดื่ม
  • แอปพลิเคชันที่ต้องการเพิ่มการมีส่วนร่วมและการกลับมาใช้งาน เช่น เกม แอปโซเชียลมีเดีย หรือแอปพลิเคชันข่าวสาร
  • ธุรกิจ E-commerce ที่ต้องใช้ในการแจ้งเตือนเกี่ยวกับสถานะการสั่งซื้อ การจัดส่งสินค้า หรือโปรโมชั่นพิเศษ

 

Online Community: สร้างกลุ่มชุมชนออนไลน์ / การสร้างคอนเทนต์

Online Community เป็นการสร้างกลุ่มชุมชนออนไลน์ผ่านแพลตฟอร์มต่างๆ เช่น กลุ่มเฟสบุ๊ก หรือเว็บไซต์ชุมชน เพื่อโปรโมทสินค้า จัดกิจกรรมพิเศษและสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้า

ข้อดี:

  • มีความสัมพันธ์ที่ดีและยั่งยืนกับลูกค้า
  • รับฟังความคิดเห็นและความต้องการของลูกค้าได้โดยตรง
  • สร้าง Brand Loyalty ให้กลับมาซื้อซ้ำ
  • กระตุ้นการบอกต่อ

ข้อเสีย:

  • ต้องใช้เวลาและความพยายามในการดูแลชุมชน
  • ต้องสร้างความน่าสนใจและการมีส่วนร่วมต่าง ๆ
  • ต้องสามารถรับมือกับความคิดเห็นเชิงลบ เวลามีสมาชิกที่แสดงความคิดเห็นเชิงลบ ต้องมีการจัดการและรับมือได้อย่างเหมาะสม

เหมาะกับสินค้าประเภทไหน:

  • สินค้าที่ต้องการการสร้างความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับลูกค้า เช่น สินค้าไลฟ์สไตล์ ผลิตภัณฑ์ความงาม
  • สินค้าหรือบริการที่มีกลุ่มเป้าหมายเฉพาะ เช่น กล้องถ่ายรูป, อุปกรณ์กีฬา, สินค้าสำหรับคนรักสัตว์
  • แบรนด์ที่ต้องการสร้าง Brand Community ที่แข็งแกร่ง ช่วยสร้างความรู้สึกเป็นเจ้าของร่วมและความผูกพันกับแบรนด์

บทสรุป

ปี 2024 นี้ โลกออนไลน์คือสมรภูมิการค้าที่ยังคงความดุเดือด แต่ไม่ต้องกังวลไป เพราะเราคัดสรร 20 ช่องทางโปรโมทสินค้าสุดปัง ที่จะช่วยให้คุณนำหน้าคู่แข่งและเข้าถึงลูกค้าได้อย่างตรงใจ ไม่ว่าจะเป็น Facebook, Email Marketing, SEO, Google Ads, Amazon, In-app Ads, Push Notifications และ Online Community โดยแต่ละช่องทางมีข้อดีและข้อเสียต่างกัน การเลือกใช้ช่องทางที่เหมาะสมกับสินค้าของคุณเป็นสิ่งสำคัญเพื่อให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างตรงจุด เช่น การใช้ Facebook และ Shopee สำหรับสินค้าแฟชั่น การใช้ SEO สำหรับสินค้าไอที หรือการใช้ Micro-influencers สำหรับสินค้าไลฟ์สไตล์ ซึ่งจะช่วยเพิ่มการรับรู้และการขายสินค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพในตลาดออนไลน์ที่มีการแข่งขันสูงในปัจจุบัน