การตลาด (Marketing) คืออะไร มีประเภทอะไรบ้าง ทำความเข้าใจพื้นฐานก่อน

บทย่อ

กิจการที่ประสบความสำเร็จ ไม่ว่าจะเป็นกิจการขนาดเล็ก หรือขนาดใหญ่ ต่างให้ความสำคัญกับการตลาดอย่างจริงจัง ความหมายของการตลาดที่ง่ายที่สุดคือ การตลาดเป็นการส่งมอบความพอใจให้กับลูกค้า ณ ระดับกำไรหนึ่ง ซึ่งจะต้องพยายามดึงดูดลูกค้ารายใหม่โดยบ่งบอกให้เห็นถึงคุณค่าที่ดีกว่า และ
การรักษาลูกค้าที่มีอยู่โดยการส่งมอบความพึงพอใจ การตลาดสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภทใหญ่ คือการตลาดแบบดั้งเดิม (Traditional Marketing) และการตลาดแบบดิจิทัล (Digital Marketing) 

การตลาดคืออะไร

การตลาด คือกระบวนการทางสังคมและการจัดการที่มุ่งสนองความจำเป็นและความต้องการให้กับบุคคลและกลุ่มต่างๆ โดยอาศัยการสร้างสรรค์ และการเปลี่ยนแปลงผลิตภัณฑ์และคุณค่ากับผู้อื่นนั่นเอง

โดยแนวคิดหลักทางการตลาดจะเชื่อมโยงกันเป็นวงจร โดยเริ่มจากผู้บริโภค ซึ่งแต่ละคนในสังคม
ก็ต่างมีความจำเป็น ความต้องการและอุปสงค์ ทั้งที่เหมือนกันและแตกต่างกันไป โดยผู้บริโภคเหล่านี้จะเลือก ผลิตภัณฑ์หรือบริการ ที่สามารถนำมาใช้หรือบริโภคเพื่อสนองความต้องการของตนเอง อย่างไรก็ตามในการเลือกผลิตภัณฑ์ใดผลิตภัณฑ์หนึ่งมาใช้นั้น ผู้บริโภคจะคำนึงถึงผลประโยชน์ที่ผลิตภัณฑ์นั้นสามารถตอบสนองต่อความต้องการของตนเป็นหลัก และเมื่อผู้บริโภคได้ค้นพบผลิตภัณฑ์ที่ให้ผลประโยชน์สูงสุดทั้งในด้านคุณค่า คุณภาพและความพอใจ เมื่อเทียบกับผลิตภัณฑ์อื่นๆ แล้ว ผู้บริโภคจะเข้าไปติดต่อ
เพื่อ แลกเปลี่ยนหรือทำการค้า กับเจ้าของผลิตภัณฑ์นั้น และหากยังต้องการทำการซื้อขายกันอยู่ ความสัมพันธ์ก็จะดำเนินต่อไปและเมื่อมีผู้บริโภคจำนวนมากดำเนินการในลักษณะนี้กับผลิตภัณฑ์หรือบริการหนึ่งๆ เราเรียกกลุ่มผู้บริโภคนี้ว่า ตลาด และเรียกกิจกรรมทั้งหมดในวงจรนี้ว่า การตลาด

เพื่อทำความเข้าใจความหมายของ การตลาด ได้ดีขึ้น จึงจำเป็นต้องอธิบายถึงความหมายของ
คำต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับแนวคิดหลักการทางการตลาดกันก่อน

  • ความจำเป็น (Needs) : ความต้องการขั้นพื้นฐานของมนุษย์ เช่น อาหาร ยารักษาโรค เป็นต้น
  • ความต้องการ (Wants) : เป็นอีกรูปแบบหนึ่งของความจำเป็นของมนุษย์ สามารถเปลี่ยนแปลงไปตามสภาพแวดล้อมของสังคม เช่น คนไทยต้องการบริโภคส้มตำ ในขณะที่คนอเมริกาต้องการบริโภคแฮมเบอร์เกอร์
  • อุปสงค์ (Demands) : ความต้องการของคนที่แทบจะไม่มีที่สิ้นสุด แต่ทรัพยากรมีอยู่อย่างจำกัด
    ทำให้คนเราจึงต้องเลือกผลิตภัณฑ์ต่างๆ ที่อยู่ในตลาด โดยพิจารณาสิ่งที่ให้คุณค่าและความพอใจแก่ตนเองมากที่สุดเท่าที่เป็นไปได้จากวงเงินที่มีอยู่
  • ผลิตภัณฑ์ (Product) : สิ่งใดก็ตามที่สามารถนำเสนอให้แก่ตลาดเพื่อตอบสนองความจำเป็นหรือความต้องการได้
  • บริการ (Service) : เป็นกิจกรรมหรือผลประโยชน์อะไรก็ตามซึ่งได้มีการเสนอนำมาเสนอขาย
    ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่สามารถจับต้องได้ และไม่ก่อให้เกิดผลต่อการยึดครองผลิตภัณฑ์ เช่น บริการ-
    สายการบิน บริการของโรงแรม เป็นต้น
  • คุณค่าในสายตาของผู้บริโภค (Customer value) : ความแตกต่างระหว่างคุณค่าที่ลูกค้าได้รับ
    จากการเป็นเจ้าของและการใช้ผลิตภัณฑ์นั้นกับต้นทุนที่ต้องจ่ายไปเพื่อให้ได้ผลิตภัณฑ์นั้น
  • ความพึงพอใจของลูกค้า (Customer satisfaction) : ขึ้นอยู่กับประโยชน์หรือคุณค่าที่รับรู้ได้
    จากการใช้ผลิตภัณฑ์ เมื่อเทียบกับสิ่งที่ลูกค้าคาดหวัง
  • การจัดการต้นทุนโดยรวม (Total quality management) : เป็นการปรับปรุงผลิตภัณฑ์ การบริการและกระบวนการทางการตลาดให้ดียิ่งขึ้น
  • การแลกเปลี่ยน (Exchange) : การกระทำเพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งที่ต้องการจากใครก็ตาม โดยเสนอ
    สิ่งบางสิ่งบางอย่างให้เป็นการตอบแทบ
  • การทำการค้า (Transaction) : การเจรจาซื้อขายแลกเปลี่ยน หรือการติดต่อทางธุรกิจ
  • การตลาดสัมพันธภาพ (Relationship marketing) : การสร้างความสัมพันธ์ทั้งระยะสั้น และระยะยาวกับลูกค้า ผู้จัดจำหน่าย ตัวแทนจำหน่าย รวมไปถึงผู้จัดหา
  • ตลาด (Market) : กลุ่มผู้ซื้อที่แท้จริงและผู้ซื้อที่มีศักยภาพโดยผู้ซื้อจะมองถึงความจำเป็นหรือ
    ความต้องการเพื่อตอบสนองความพอใจโดยอาศัยการแลกเปลี่ยน และความสัมพันธ์

Traditional marketing หรือการตลาดแบบดั้งเดิม

เป็นการตลาดที่เริ่มต้นขึ้นมาในช่วงที่อินเตอร์เน็ตยังไม่มีบทบาท การประชาสัมพันธ์ข้อมูลต่างๆ
จะสื่อสารเเค่เพียงด้านเดียว เช่น ผ่านทางโทรทัศน์ วิทยุ สื่อสิ่งพิมพ์ รวมถึงป้ายตามสถานที่ต่างๆ เเละลูกค้าไม่สามารถเเสดงความคิดเห็นต่อสินค้าเราได้เลย เพราะการโฆษณาเเบบนี้ เป็นการรับสารอยู่ฝ่ายเดียว
การทำการตลาดเเบบดั้งเดิมจะมีค่าใช้จ่ายในการดำเนินการที่สูงมาก ธุรกิจระดับกลางถึงระดับเล็ก จึงไม่ค่อยได้มีโอกาสเติบโตซักเท่าไหร่ เเละการตลาดเเบบดั้งเดิมนี้ใช้เวลาค่อนข้างนานกว่าจะเข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้

ข้อดีของการตลาดแบบดั้งเดิม

ข้อดีของกลยุทธ์ทางการตลาดแบบดั้งเดิมที่ดีกว่ารูปดิจิทัล เช่น

  1. เข้าถึงลูกค้าได้กว้างกว่า :  วิธีการตลาดแบบดั้งเดิม เช่น โฆษณาทางโทรทัศน์ และ ป้ายบิลบอร์ด สามารถเข้าถึงผู้ชมได้กว้างกว่า ซึ่งรวมไปถึงคนที่เข้าถึงอินเทอร์เน็ตยาก หรือ คนที่ไม่เล่นโซเชียล
  2. รูปลักษณ์จับต้องได้เข้าถึงใจลูกค้า : องค์ประกอบทางการตลาดที่จับต้องได้ เช่น โบรชัวร์หรือใบปลิว
    จะให้ประสบการณ์ที่น่าจดจำมากกว่าและเข้าถึงใจลูกค้า ที่เก็บหรือแชร์ต่อได้ง่าย  
  3. กำหนดกลุ่มเป้าหมายแม่นยำ :  การตลาดแบบดั้งเดิมเปิดโอกาสให้กำหนดกลุ่มเป้าหมายในพื้นที่ที่เฉพาะเจาะจงอย่างแม่นยำ ทำให้เหมาะสำหรับธุรกิจที่ดำเนินการภายในพื้นที่หนึ่ง

ตัวอย่างของการตลาดแบบดั้งเดิม

ตัวอย่างของการตลาดแบบดังเดิมประเภทสื่อสิ่งพิมพ์ที่เป็นที่นิยม

  1. การตลาดผ่านสื่อสิ่งพิมพ์ (Print Marketing) หมายถึง วัสดุทางการตลาดที่พิมพ์ออกมา ซึ่งรวมถึง
  • โปสเตอร์ : ใช้ติดตามสถานที่ต่างๆ เพื่อโปรโมทสินค้า บริการ หรือกิจกรรม
  • ป้ายโฆษณา (Billboards) : ป้ายขนาดใหญ่ที่ติดตั้งตามถนนหรือสถานที่สำคัญ เพื่อดึงดูดความสนใจของผู้ที่ผ่านไปมา
  • โฆษณาในนิตยสารหรือลงหนังสือพิมพ์ : ใช้พื้นที่ในนิตยสารหรือหนังสือพิมพ์ในการโฆษณาเพื่อเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่อ่านสิ่งพิมพ์เหล่านั้น
  • โบรชัวร์ : เอกสารพิมพ์ที่แจกจ่ายเพื่อให้ข้อมูลเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์หรือบริการ
  • แคตตาล็อก : หนังสือที่รวมสินค้าหรือบริการต่างๆ ของบริษัท เพื่อให้ลูกค้าสามารถเลือกซื้อได้ง่าย
  • ถุงผ้าและของแจกที่มีแบรนด์ : ใช้ในการแจกตามงานหรือให้ลูกค้าซื้อเพื่อนำไปใช้ ซึ่งช่วยในการสร้างการรับรู้แบรนด์
  • ยานพาหนะที่มีแบรนด์ของบริษัท : การใช้ยานพาหนะที่มีการตกแต่งด้วยโลโก้และข้อมูลของบริษัท
  • เครื่องเขียนของบริษัท : การใช้เครื่องเขียนที่มีโลโก้และข้อมูลของบริษัท
  • การปรากฏในบทความของนิตยสารหรือหนังสือพิมพ์ : การถูกกล่าวถึงหรือรีวิวในบทความเป็นการเพิ่มความน่าเชื่อถือและการรับรู้แบรนด์

การตลาดผ่านการออกอากาศ (Broadcast Marketing) คือการโปรโมทบริษัทผ่านทางโทรทัศน์หรือวิทยุ ซึ่งรวมถึง

  • โฆษณาทางโทรทัศน์ (TV Adverts) : โฆษณาที่ออกอากาศทางทีวีในช่วงเวลาต่างๆ
  • การจัดวางผลิตภัณฑ์ในสื่อ (Product Placement) : การแฝงสินค้าหรือบริการเข้าไปในรายการโทรทัศน์หรือภาพยนตร์
  • การสนับสนุนรายการโทรทัศน์ (TV Show Sponsorships) : การเป็นผู้สนับสนุนรายการโทรทัศน์เพื่อโปรโมทแบรนด์
  • การปรากฏตัวในรายการโทรทัศน์ (The Company Appears as Part of a TV Show) : การที่บริษัทหรือแบรนด์ปรากฏในเนื้อหาของรายการโทรทัศน์
  • การปรากฏตัวในข่าว (The Company Appears on the News) : การที่บริษัทหรือแบรนด์ถูกกล่าวถึงหรือรายงานในข่าว
  • โฆษณาทางวิทยุ (Radio Adverts) : โฆษณาที่ออกอากาศทางวิทยุ
  • จิงเกิ้ลทางวิทยุ (Radio Jingles) : เพลงสั้นๆ หรือจิงเกิ้ลที่ใช้ในการโฆษณาทางวิทยุ

การตลาดผ่านการจัดงานอีเวนต์ (Event Marketing) หมายถึง วิธีที่บริษัทของคุณมีส่วนร่วมในกิจกรรมต่างๆ เช่น การประชุม, งานแสดงสินค้า, การตลาดประสบการณ์ และอื่นๆ ซึ่งสามารถทำได้หลายวิธี ได้แก่

  • การเข้าร่วมงานเน็ตเวิร์กกิ้ง (Attending Networking Events) : เข้าร่วมกิจกรรมที่เปิดโอกาส
    ให้พบปะและสร้างความสัมพันธ์กับผู้อื่น
  • การเป็นเจ้าภาพพาเนล/การพูด (Hosting a Panel/Talk) : จัดการพูดหรือเป็นส่วนหนึ่งของพาเนล
    ในกิจกรรม
  • การตั้งบูธ (Exhibiting/Sales Stand) : จัดบูธแสดงสินค้าหรือบริการเพื่อดึงดูดความสนใจ
  • การเป็นสปอนเซอร์กิจกรรม (Sponsoring the Event/Area of the Event) : สนับสนุนกิจกรรมหรือบางส่วนของกิจกรรมเพื่อเพิ่มการรับรู้แบรนด์

การตลาดทางไปรษณีย์โดยตรง (Direct Mail) และการตลาดทางโทรศัพท์ (Telemarketing) มักถูกมองในแง่ลบมากกว่าวิธีการตลาดแบบดั้งเดิมอื่นๆ เนื่องจากในอดีตมีการติดต่อกับลูกค้าที่ไม่ได้ยินยอมให้ติดต่อ

  • การตลาดทางไปรษณีย์โดยตรง (Direct Mail) ถูกนิยามว่าเป็น “เอกสารโฆษณาที่ไม่ได้รับการขอส่งไปยังลูกค้าที่เป็นกลุ่มเป้าหมายทางไปรษณีย์” แต่ก็ไม่เสมอไป บางครั้งผู้บริโภคอาจสมัครใจ
    รับจดหมาย เช่น คูปองหรือแคตตาล็อก
  • การตลาดทางโทรศัพท์ (Telemarketing) หมายถึง การตลาดในการโปรโมทสินค้าและบริการผ่านการโทรศัพท์ โดยมักจะเป็นการโทรที่ไม่ได้รับการขอ

Digital Marketing หรือการตลาดแบบดิจิทัล

เป็นการตลาดที่ใช้อินเตอร์เน็ตเข้ามาช่วยในการประชาสัมพันธ์ข้อมูลของธุรกิจให้ลูกค้ารับรู้ เเละ
วิธีนี้ สามารถเข้าถึงลูกค้าได้อย่างรวดเร็ว ตรงกลุ่มเป้าหมายที่ธุรกิจเราสามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้ ลูกค้าสามารถตอบโต้กับผู้ประกอบการได้ ทำให้ทางผู้ประกอบการได้รับฟังความคิดเห็น และ
ข้อควรปรับปรุงของสินค้าได้ทันที โดยที่ค่าใช้จ่ายของการตลาดวิธีนี้จะค่อนข้างต่ำกว่าการตลาดเเบบดั้งเดิม เเต่กลับมีประสิทธิภาพมากกว่าในด้านของการเก็บข้อมูล เเละอัพเดทได้เเบบ Real-Time

ข้อดีของการตลาดดิจิทัล

ข้อดีของการตลาดดิจิทัลมีหลายข้อที่ดีกว่าการตลาดแบบดั้งเดิม ได้แก่

  1. เข้าถึงได้มากกว่า : มีการตอบสนอง และสามารถกำหนดลูกค้าเป้าหมายได้  การตลาดดิจิทัลได้เปิดโอกาสให้ธุรกิจมีปฏิสัมพันธ์กับลูกค้าในวงที่กว้างกว่าและสามารถกำหนดกลุ่มเป้าหมายได้อย่างเฉพาะเจาะจง
    ทั้งด้านข้อมูลประชากร ความสนใจ และพฤติกรรม ซึ่งได้ผลดีกว่าการตลาดแบบดั้งเดิม
  2. คุ้มค่าใช้จ่าย : ปกติแล้ววิธีการของการตลาดรูปแบบดิจิทัลจะเป็นทางเลือกที่คุ้มค่ามากกว่าแบบดั้งเดิม  ช่องทางโฆษณาออนไลน์มักมีราคาที่ค่อนข้างยืดหยุ่น ทำให้ธุรกิจลงทุนได้อย่างเหมาะสมและ
    ได้รับผลตอบแทนที่ดี
  3. สามารถรับรู้ผลได้แบบเรลไทม์ : ตัวธุรกิจสามารถติดตามและวิเคราะห์ประสิทธิภาพของแคมเปญ

ตัวอย่างของการตลาดดิจิทัล

ตัวอย่างบางช่องทางของการการตลาดดิจิทัล เช่น

1.การตลาดผ่านคอนเทนต์ (Content Marketing) เช่น สร้างสรรค์ และเผยแพร่บนเว็บไซต์ของตนเอง

  1. การเพิ่มประสิทธิภาพในการค้นหา (Search Engine Optimisation – SEO)

การเพิ่มประสิทธิภาพในการค้นหา หรือ SEO คือการทำงานทุกอย่างที่ช่วยให้เว็บไซต์ของคุณ
ติดอันดับในผลการค้นหา แม้ว่าอาจจะไม่ได้ดูเหมือนเป็นรูปแบบของการตลาด แต่ก็เป็นหนึ่งในรูปแบบที่สำคัญที่สุด เพราะคุณอาจมีเว็บไซต์และผลิตภัณฑ์ที่ดีที่สุดในโลก แต่ถ้าเว็บไซต์ของคุณไม่ปรากฏ เมื่อผู้บริโภคค้นหาผลิตภัณฑ์ที่คล้ายกัน ก็จะทำให้เราไม่สามารถทำยอดขายในส่วนนี้ได้

การทำ SEO ที่ดีสามารถช่วยเพิ่มการมองเห็นเว็บไซต์ของคุณในเครื่องมือค้นหาเช่น Google
ซึ่งนำไปสู่การเพิ่มปริมาณการเข้าชมเว็บไซต์ของคุณ เพิ่มโอกาสในการขาย และเสริมสร้างความน่าเชื่อถือของแบรนด์ นอกจากนี้ การทำ SEO ต้องใช้เวลาและความพยายาม แต่ผลที่ได้สามารถช่วยให้ธุรกิจของคุณเติบโตได้อย่างมีนัยสำคัญในระยะยาว

  1. การตลาดผ่านโซเชียลมิเดีย (Social Media Marketing)

การตลาดโซเชียลมีเดียเป็นรูปแบบการตลาดดิจิทัลที่ได้รับความนิยมอย่างมาก เนื่องจากความสามารถในการเข้าถึงและสามารถเผยแพร่ได้การนำไปใช้ในวงกว้าง เหมาะสำหรับการสร้างความรับรู้เกี่ยวกับแบรนด์ของคุณและลูกค้าสามารถมีปฏิสัมพันธ์กับคุณได้

การเลือกช่องโซเชียลมีเดียที่เหมาะสมสำหรับการโฆษณาธุรกิจของคุณจะขึ้นอยู่กับกลุ่มเป้าหมายที่คุณคิดว่าเหมาะกับผลิตภัณฑ์ของคุณ เช่น :

  • TikTok : เหมาะสำหรับการเข้าถึงกลุ่มวัยรุ่น เป็นแพลตฟอร์มที่เป็นที่นิยมสำหรับเนื้อหาวิดีโอสั้น
    ที่มีแนวโน้มที่จะไปแพร่และเพื่อให้สื่อสารได้ง่าย
  • LinkedIn : เหมาะสำหรับการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่มีความตั้งใจในการสร้างธุรกิจ เน้นไปที่
    การสร้างเครือข่ายแบบมืออาชีพ ข้อมูลข่าวสารจากอุตสาหกรรม และการติดต่อ B2B
  • Reddit : เหมาะสำหรับการเข้าถึงกลุ่มที่มีความสนใจพิเศษ มีหลากหลาย subreddit ที่เน้นไปที่
    การสนทนาและเนื้อหาที่สามารถไปสู่ความนิยมภายในชุมชนที่เฉพาะเจาะจง
  1. การตลาดแบบเสียเงินต่อคลิกหรือ PPC (Pay-per-click)

เป็นการโฆษณาที่คุณเห็นรอบตัวบนอินเทอร์เน็ต ซึ่งรวมถึงโซเชียลมีเดีย เช่น YouTube, เว็บไซต์, ตัวค้นหาในเว็บไซต์, อีเมล, และแอปพลิเคชันการสื่อสาร มักจะชัดเจนว่าอะไรเป็นโฆษณาและอะไรไม่ใช่ แต่มักจะถูกออกแบบให้เข้ากับแพลตฟอร์มที่พวกเขาปรากฏอยู่ เช่น โฆษณาการค้นหาของ Google ปรากฏในรูปแบบเดียวกับผลการค้นหาอื่น ๆ แต่มีคำว่า “Ad” ข้างๆ

  1. การตลาดผ่านอีเมล (Email Marketing)

เป็นหนึ่งในวิธีที่ดีที่สุดในการเชื่อมต่อกับกลุ่มเป้าหมายของคุณ เมื่อพวกเขาเข้าชมเว็บไซต์ของคุณ การตลาดทางอีเมลสามารถทำงานได้ต่อเนื่อง และตลอดเวลา โดยอีเมลจะถูกส่งโดยอัตโนมัติถึงสมาชิกทางอีเมล

  1. การตลาดผ่านวิดีโอ (Video Marketing)

การตลาดทางวิดีโอแตกต่างจากโฆษณาทีวีแบบดั้งเดิมตรงที่มีการเผยแพร่ได้วงกว้างกว่าและ
มีความยืดหยุ่นมากกว่า การตลาดทางวิดีโอสามารถปรับใช้ได้กลุ่มเป้าหมายที่เฉพาะเจาะจง

การตลาดทางวิดีโอสามารถนำมาใช้ได้สำหรั:

  • วิดีโอบนเว็บไซต์
  • วิดีโอบน YouTube
  • วิดีโอบนโซเชียลมีเดีย
  • โฆษณา PPC (การโฆษณาตามคลิก)
  1. การตลาดที่ใช้อินฟลูเอนเซอร์ (Influencer Marketing)

เป็นวิธีหนึ่งในการโฆษณาธุรกิจของคุณให้เข้าถึงลูกค้าทางออนไลน์ กลยุทธ์นี้นั้น เกี่ยวข้องกับการจ่ายเงินให้กับบุคคลที่มีชื่อเสียงในอินเทอร์เน็ตที่เรียกว่า “อินฟลูเอนเซอร์” เพื่อโปรโมตผลิตภัณฑ์หรือบริการของคุณให้กับผู้ติดตามบนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย ซึ่งเป็นการโปรโมทแบบให้ความเป็นธรรมชาติมากกว่าโฆษณา PPC ทั่วไป

  1. Affiliate Marketing

การทำการตลาดออนไลน์รูปแบบหนึ่งที่เจ้าของธุรกิจจะใช้ตัวแทนในการช่วยขายสินค้าหรือบริการ ซึ่งตัวแทนนั้นจะเป็นใครก็ได้ และทางธุรกิจก็จะให้ค่าตอบแทนกับตัวแทนเหล่านั้นอยู่ในรูปแบบ
ค่า Commission (คอมมิชชัน) หากทำตามเงื่อนไขที่ทางเจ้าของธุรกิจกำหนดได้

บทสรุป

การตลาดหมายถึงการจัดการทางการตลาดเพื่อก่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนและการสร้างความสัมพันธ์โดยมีจุดดมุ่งหมายในการสร้างคุณค่าและสนองความจำเป็นและความต้องการของลูกค้า จากนิยามดังกล่าว การตลาดจึงเป็นกระบวนการที่บุคคลและกลุ่มต่างๆ ได้รับการตอบสนองในความจำเป็นและความต้องการ ซึ่งเกิดจากการสร้างสรรค์และการแลกเปลี่ยนผลิตภัณฑ์และคุณค่ากับผู้อื่น โดยการตลาดแบ่งออกเป็น
2 ประเภท ได้แก่ การตลาดแบบดั้งเดิม ที่มีการใช้งานมาอย่างยาวนาน เช่น การโฆษณาทางโทรทัศน์ เป็นต้น และการตลาดแบบดิจิทัล ที่มีการใช้เทคโนโลยีและอินเทอร์เน็ตในการเข้าถึงลูกค้า เช่น SEO เป็นต้น